top of page

เมืองแห่งการเรียนรู้ กุญแจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิขสิทธิ์ พุฒเขียว

แขนงวิชาการศึกษานอกระบบ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


บทความนี้นำเสนอแนวคิดของเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เกิดความยั่งยืนผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการส่งเสริมการเรียนรู้ในทุกภาคส่วน ทั้งในระบบการศึกษา ครอบครัว ชุมชน และสถานที่ทำงาน เมืองแห่งการเรียนรู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมในโลกยุคใหม่ บทความนี้ยังได้นำเสนอกรณีศึกษาของเมืองในต่างประเทศ รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อรองรับความท้าทายและสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน


ความหมาย ความสำคัญและเป้าหมาย


ความหมายของเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) เป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับทุกคนในชุมชน โดยมีการจัดการทรัพยากรในทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบครบวงจร ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงอุดมศึกษา รวมทั้งการเรียนรู้ในครอบครัว ชุมชน และที่ทำงาน โดยเมืองเหล่านี้ยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้และสนับสนุนวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต


นอกจากนั้นแล้วการเรียนรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ เมืองแห่งการเรียนรู้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับเมืองและประเทศในโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เมืองสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างเมืองที่ผู้คนทุกวัยสามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม และใช้ความรู้ในการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่งเสริมความยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองในทุกมิติ

 

การเชื่อมโยงกับแนวคิด UNESCO's Learning City


แนวคิด UNESCO's Learning City เป็นกรอบการพัฒนาเมืองที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในทุกชุมชน เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ระดับโลกของ UNESCO (UNESCO Global Network of Learning Cities - GNLC) มุ่งสร้างเมืองที่ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ในทุกช่วงวัยอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในระบบ นอกระบบ หรือการเรียนรู้ตามอัธยาศัย โดยเมืองที่เข้าร่วมในเครือข่ายนี้จะต้องมีการจัดการทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพของประชาชน ในประเทศไทย เมืองหลายแห่ง เช่น เชียงรายและภูเก็ต ได้เข้าร่วมเครือข่ายนี้และนำแนวทางของ UNESCO มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบายและกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งนี้ แนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมอีกด้วย​

 

ลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ตามแนวคิด UNESCO


เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) มีลักษณะสำคัญหลายประการที่ทำให้เกิดการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) ให้กับประชากรทุกกลุ่ม โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้กำหนดกรอบแนวคิดหลักของเมืองแห่งการเรียนรู้ดังนี้

  1. การส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษา เมืองแห่งการเรียนรู้ควรจัดให้มีการศึกษาที่เข้าถึงได้อย่างทั่วถึงสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบหรือนอกระบบ เช่น ห้องสมุด ศูนย์ฝึกอาชีพ หรือการเรียนรู้ออนไลน์

  2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสนับสนุนการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่การเรียนรู้ในวัยเด็กไปจนถึงการเรียนรู้ในวัยชรา เมืองจะต้องมีการจัดหาโอกาสและทรัพยากรที่ช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา

  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน การมีส่วนร่วมจากประชาชน องค์กรท้องถิ่น และภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ชุมชนต้องได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างโอกาสการเรียนรู้

  4. การสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายที่เข้มแข็ง เมืองต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น การออกนโยบายที่ส่งเสริมการเรียนรู้ การจัดงบประมาณสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา

  5. การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ในเมืองแห่งการเรียนรู้ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์ม e-learning แอปพลิเคชันการเรียนรู้ และการเรียนรู้ออนไลน์

  6. การส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม เมืองแห่งการเรียนรู้ควรสนับสนุนการเรียนรู้ที่ครอบคลุมวัฒนธรรมที่หลากหลายเพื่อสร้างสังคมที่ยอมรับความแตกต่าง และสร้างความสามัคคีในชุมชน


การพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อให้ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพตลอดชีวิต การบูรณาการการเรียนรู้ในทุกระดับของสังคมยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเมืองที่มีความยั่งยืนและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

แนวทางในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้


แนวทางในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในระดับสากลสามารถเห็นได้จากกรณีศึกษาของเมืองที่ประสบความสำเร็จ เช่น เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ และเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ซึ่งได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยที่กรณีศึกษาทั้งสองนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผสมผสานเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการศึกษา และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งทำให้เมืองเหล่านี้สามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และสร้างความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติของเมือง เช่น

  1. เมืองเฮลซิงกิ มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อเพิ่มคุณภาพของการเรียนรู้ เมืองนี้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ให้ประชาชนทุกวัยเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาและพัฒนาทักษะใหม่ๆ นอกจากนี้ เฮลซิงกิยังมีระบบการศึกษาที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น โดยเน้นการพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้แบบไม่มีข้อจำกัดทางเวลาและสถานที่

  2. เมืองบาร์เซโลนา ได้เน้นการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้โดยการสนับสนุนการเรียนรู้ในชุมชนและครอบครัว รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างสถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่น เมืองนี้ได้พัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมการเรียนรู้ที่เน้นความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ นอกจากนี้ บาร์เซโลนายังเป็นหนึ่งในเมืองที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมวัฒนธรรมและนวัตกรรมต่างๆ


กรณีศึกษาทั้งสองนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผสมผสานเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการศึกษา และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งทำให้เมืองเหล่านี้สามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และสร้างความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติของเมืองได้อย่างยั่งยืน


อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางปฏิบัติที่สามารถเป็นไปได้สำหรับประเทศไทยสามารถนำแนวทางปฏิบัติที่ดีจากเมืองต่างๆ ในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของประเทศ โดยแนวทางสำคัญในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในประเทศไทย มีดังนี้

  1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน การพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ควรเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา และชุมชนท้องถิ่น โดยควรจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดร่วมกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจในทิศทางการพัฒนาเมือง ทั้งนี้ เมืองแห่งการเรียนรู้ในประเทศไทยควรสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคีเครือข่ายในชุมชนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชน

  2. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นหัวใจสำคัญของเมืองแห่งการเรียนรู้ เมืองในประเทศไทยควรจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนหรือ “ห้องสมุดประชาชน” เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่าย นอกจากนี้ การส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้นอกระบบ การฝึกทักษะวิชาชีพ และการเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมทางวัฒนธรรม ควรเป็นแนวทางที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและความรู้ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

  3. นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เมืองแห่งการเรียนรู้ในประเทศไทยควรนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาระบบการศึกษา เช่น การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การสร้างสื่อการสอนดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงในการจำลองสถานการณ์การเรียนรู้ เมืองควรสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัลที่จำเป็น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา

  4. การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เมืองไทยควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและการเรียนรู้ เช่น การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ห้องสมุดดิจิทัล และพื้นที่สาธารณะที่ใช้ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีการเข้าถึงการศึกษาน้อย ควรมีการสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงการสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศิลปะเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่เป็นมิตรกับคนทุกวัย

  5. สนับสนุนการพัฒนาทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับความต้องการของตลาดแรงงานเป็นสิ่งสำคัญ เมืองไทยควรมีการพัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมฝึกทักษะที่ตอบสนองต่อแนวโน้มตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การออกแบบนวัตกรรม และการเสริมทักษะวิชาชีพ เพื่อให้คนไทยสามารถมีทักษะที่ทันสมัยและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

  6. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เมืองควรสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือกันในทุกกลุ่มประชากร โดยสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้ และการจัดเวิร์กช็อปหรือการสัมมนาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะชีวิตและการทำงาน การสร้างเมืองที่สนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันนี้จะช่วยส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชน และทำให้การเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

 

บทสรุป


เมืองแห่งการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเมืองและชุมชนให้มีความยั่งยืน โดยเน้นการสร้างโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัย แนวทางการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในระดับชุมชนและครอบครัว แต่ยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เมืองที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเจริญก้าวหน้าในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน และชุมชนในทุกภาคส่วนเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้เมืองแห่งการเรียนรู้กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาอนาคตของเมือง

 


รายการอ้างอิง


พลรพี ทุมมาพันธ์ สรียา โชติธรรม และกัญญ์ฐิตา ศรีภา. (2022). เมืองแห่งการเรียนรู้: กรอบการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต. วารสารวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์, 1(1), 59-84. https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JLSEd/article/view/3320


สุบรรณ เอี่ยมวิจารณ์ และ สุธินี อัตถากร. (2024). เมืองแห่งการเรียนรู้ : แนวคิดการพัฒนาและสร้างความรู้เพื่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน. วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 11(1), 851-864. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/rdirmu/article/view/275349


อจิรภาส์ ประดิษฐ์, ส. ส., ปรานอม ตันสุขานันท์, อัมพิกา ชุมมัธยา และจิรันธนิน กิติกา,. (2566). ประชาสังคม: ทรัพยากรการเรียนรู้ชุมชนเพื่อการสร้างกลไก เมืองแห่งการเรียนรู้. วารสารวิชาการ การออกแบบสภาพแวดล้อม, 10(1), 27-47. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jed/article/view/256127


UNESCO Institute for Lifelong Learning. (2015). Key Features of Learning Cities: Introductory Note. Retrieved from https://uil.unesco.org/document/key-features-learning-cities-introductory-note


UNESCO Global Network of Learning Cities (GNLC). (2020). Learning Cities and the SDGs: A Guide to Action.


ภาพจาก : UNESCO Institute for Lifelong Learning. (n.d.). UNESCO learning city of Sukhothai, Thailand. UNESCO. Retrieved September 6, 2024, from https://unesco-uil.pageflow.io/unesco-learning-city-of-sukhothai-thailand#316495


สามารถอ่านฉบับเต็ม ได้ที่ไฟล์ด้านล่างนี้



16 views

Comments


โพสต์ล่าสุด
หมวดหมู่
Archive
bottom of page