top of page

การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นเลิศในโลกยุคดิจิทัล

รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์

แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน สาขาวิชาศึกษาศาสตร์

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


การพัฒนาผู้เรียนในยุคนี้พัฒนาให้มีความรู้ในระดับค่าเฉลี่ยไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนประเทศไทยเป็นประเทศที่มาความสามารถลำดับต้นๆของอาเชียนก็สามารถอยู่ได้ แต่ปัจจุบันด้วยโลกยุคดิจิทัล Globalization มีผลให้ทุกอย่างบนโลกเชื่อมโยงถึงกันหมด ประเทศไทยไม่ได้แข่งกันแค่อาเชียนแต่เป็นการแข่งขันในระดับโลกแล้ว เด็กไทยมีความสามารถในระดับเกณฑ์เฉลี่ยไม่เพียงพอแล้ว จะไม่สามารถอยู่ในอนาคตอย่างมั่นคงได้ การพัฒนาผู้เรียนในยุคนี้ต้องทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพที่เป็นเลิศจึงจะอยู่รอด ตามแนวความคิดเดิมของนักสถิติ มีความเชื่อว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหรือนักศึกษาแต่ละห้อง จะมีผลการเรียนเป็นแบบโค้งปกติ (Normal curve) นั่นหมายความว่า ในแต่ละห้องเรียนมีนักเรียนที่เก่งมากอยู่ 2.28% (2.15%+0.13%) ซึ่งจะได้เกรด A กลุ่มที่เก่งถัดมามีอยู่ 13.5% ซึ่งจะได้เกรด B และนักเรียนส่วนใหญ่จะได้เกรด C มีอยู่ 68% เกรด D มี 13.5% และมีกลุ่มที่อ่อนมากอยู่ 2.28% ตกหรือได้เกรด F

ภาพที่ 1 โค้งปกติที่ใช้ในการตัดเกรด



1. ความเป็นเลิศของผู้เรียน

ตามแนวคิดของความชาญฉลาดทั้งแปดตามทฤษฎีพหุปัญญาเป็นแนวคิดของ Howard Gardner ศาสตราจารย์ฮาร์วาร์ดผู้เสนอทฤษฎี กล่าวว่าสติปัญญาและความฉลาดของมนุษย์มีหลายประเภทแต่ละประเภทแสดงถึงวิธีการประมวลผลข้อมูลที่แตกต่างกัน ความฉลาดทั้ง 8 มีดังนี้

1) ความฉลาดทางภาษา (Linguistic Intelligence) เกี่ยวข้องกับความไวต่อภาษาพูดและภาษาเขียนความสามารถในการเรียนรู้ภาษาและความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ความฉลาดนี้รวมถึงความสามารถในการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแสดงตัวเองในเชิงโวหารหรือเชิงกวี และภาษาเป็นเครื่องมือในการจดจำข้อมูล นักเขียนกวีนักกฎหมายและนักพูดเป็นหนึ่งในผู้ที่ Howard Gardner เห็นว่ามีความฉลาดทางภาษาสูง

2) ความฉลาดทางตรรกะ – คณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) ประกอบด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผลดำเนินการทางคณิตศาสตร์และตรวจสอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ในคำพูดของ Howard Gardner มันเกี่ยวข้องกับความสามารถในการตรวจจับรูปแบบเหตุผลเชิงหักล้างและคิดอย่างมีเหตุผล ความฉลาดนี้มักเกี่ยวข้องกับการคิดทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

3) ความฉลาดทางดนตรี (Musical Intelligence) เกี่ยวข้องกับทักษะในการแสดงองค์ประกอบและการชื่นชมรูปแบบดนตรี ครอบคลุมความสามารถในการรับรู้และเรียบเรียงเสียงทุ้มโทนและจังหวะดนตรี ตามความฉลาดทางดนตรีของ Howard Gardner ดำเนินไปในโครงสร้างที่เกือบจะขนานไปกับความฉลาดทางภาษา

4) ความฉลาดทางร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence) ก่อให้เกิดศักยภาพในการใช้ร่างกายหรือส่วนต่างๆของร่างกายในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการใช้ความสามารถทางจิตเพื่อประสานการเคลื่อนไหวของร่างกาย Howard Gardner มองว่ากิจกรรมทางจิตใจและร่างกายเกี่ยวข้องกัน

5) ความฉลาดเชิงมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) เป็นความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง

6) ความฉลาดด้านการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเข้าใจเจตนาแรงจูงใจและความปรารถนาของบุคคลอื่น ช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักการศึกษาพนักงานขายผู้นำทางศาสนาและการเมืองและที่ปรึกษาล้วนต้องการความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี

7) ความฉลาดด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) ก่อให้เกิดความสามารถในการเข้าใจตนเองชื่นชมความรู้สึกความกลัวและแรงจูงใจ ในมุมมองของ Howard Gardner เกี่ยวข้องกับการมีรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิผลของตัวเราและสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อควบคุมชีวิตของเราได้

8) ความฉลาดทางธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) เป็นความสามารถในการระบุและแยกแยะระหว่างพืชสัตว์และการก่อตัวของสภาพอากาศประเภทต่างๆที่พบในโลกธรรมชาติ รู้จักและเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจำแนก แยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือนักสำรวจธรรมชาติ

ภาพที่ 2 ทฤษฎีพหุปัญญาเป็นแนวคิดของ Howard Gardner

ที่มา: https://www.thebettertoystore.com/multiple-intelligences

แนวคิดความสามารถ ความฉลาดหรือสติปัญญาที่มีหลากหลายในนักเรียน จะทำให้การวัดผลผู้เรียน หรือการสอนเพื่อพัฒนานักเรียนจะไม่เน้นเหมือนกันทั้งหมด เหมือนอย่างภาพการประเมินความสามารถมารถของสัตย์แต่ละชนิด

ภาพที่ 3 การประเมินสัตว์ต่างชนิดกัน

ที่มา : https://marquetteeducator.wordpress.com/2012/07/12/climbthattree/

การ์ตูนเรื่องนี้ได้จัดทำขึ้นโดย Micah Russell เป็นเรื่องตลก แต่ยังเป็นคำกล่าวที่ทรงพลังเกี่ยวกับแนวทางของระบบการศึกษา แสดงสัตว์หลายชนิดที่มีขนาดน้ำหนักและความสามารถต่าง ๆ กัน ผู้ดำเนินการที่อยู่ด้านหน้ากล่าวว่าเพื่อความเป็นธรรมพวกเขาทั้งหมดจะถูกขอให้ทำการสอบเดียวกัน “ ตอนนี้เป็นการปีนต้นไม้” ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของสัตว์แต่ละชนิดต่างกัน ถ้าให้ปีนต้นไม้ ลิงก็จะเก่งที่สุด ถ้าให้แข่งกันบิน นกก็จะเก่งที่สุด ถ้าครูพยายามหาว่าลูกศิษย์แต่ละคนมีความสามารถที่โดดเด่นในด้านใด และส่งเสริมให้เขาได้พัฒนาตามความเก่งของเขา ลักษรธการประเมินที่เป็นแบบโค้งปกติก็จะไม่เกิดขึ้น และผลการประเมินของห้องจะเป็นแบบโครงเบ้ซ้ายทั้งหมด หรือเด็กทุกคนเก่งหมด



ภาพที่ 4 โคงการประเมินเบ่ซ้าย แสดงความเก่งของนักเรียนทุกคน

2. ความถนัดในวิธีการเรียนที่แตกต่างกัน

ผู้เรียนแต่ละคนมีรูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ตามความถนัดของแต่ละคน มีการแบ่งประเภทรูปแบบการเรียนรู้ไว้หลายแบบ ในที่นี้เสนอตัวอย่าง 7 รูปแบบที่แพทย์และนักการศึกษาทั่วโลกกำลังพิจารณาและยอมรับ บุคคลอาจมีความถนัดทางการเรียนรู้เฉพาะแบบใดแบบหนึ่งหรือความถนัดในการเรียนรู้หลายแบบในเวลาเดียวกันได้ รูปแบบการเรียนรู้ 7 รูปแบบมีดังนี้

1) เรียนรู้จากภาพ รูปแบบการเรียนรู้แรกในเจ็ดรูปแบบที่จะกล่าวถึงคือเรียนรู้จากภาพ ผู้ที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยภาพมักชอบใช้รูปภาพเพื่อช่วยให้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ดี และไม่ถนัดในการเรียนรู้จากตัวหนังสือ

2) เรียนรู้จากการได้ยินเสียง ผู้เรียนที่ถนัดการเรียนรู้จากเลียง หรือการได้ยินเสียง สามมารถเข้าใจเนื้อหาด้วยการใงเสียง บางคนอาจใช้เสียงและดนตรีเพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจแนวคิดหรือคงเนื้อหาที่กำลังสอนอยู่

3) เรียนรู้จากการพูด ผู้เรียนที่ถนัดในการเรียนรู้โดยใช้การพูดทางวาจา ในการทำความเข้าใจในเนื้อหา ต้องมีการพูดออกมาจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและจำได้นาน




ภาพที่ 5 รูปแบบการเรียนหรือลีลาการเรียยน

ที่มา : https://www.startschoolnow.org/7-different-learning-styles/

4) การเรียนรู้ทางกายภาพ ผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ทางกายภาพชอบใช้มือหรือท่าทางประกอบในการเรียนรู้ ชอบการสัมผัสกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ การลงมือทำ ช่วยให้การเรียนรู้ได้ดีขึ้น

5) การเรียนรู้แบบตรรกะ ผู้เรียนที่ชอบใช้สมองเพื่อการคิดที่ใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ พวกเขามีความสามารถในการให้เหตุผลแก้ปัญหาและเรียนรู้โดยใช้ตัวเลขข้อมูลภาพนามธรรมและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุและผล พวกเขาเป็นนักคิดที่มีระเบียบแบบแผนซึ่งสามารถจดจำรูปแบบและวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล ผู้เรียนเหล่านี้คิดเชิงแนวคิดเกี่ยวกับตัวเลขความสัมพันธ์และรูปแบบ ผู้เรียนเชิงตรรกะยังสามารถเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีความหมาย ข้อมูลที่จัดกลุ่มและจัดประเภทจะง่ายกว่าสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจ ผู้เรียนเชิงตรรกะหลายคนสามารถคำนวณที่ซับซ้อนในระดับปานกลางได้ในหัว กำหนดการแผนการเดินทางและรายการสิ่งที่ต้องทำซึ่งจัดลำดับตามความต้องการเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบสร้างโดยธรรมชาติ พวกเขายังสนุกกับการวางแผนกลยุทธ์และการใช้สถานการณ์จำลอง เกมเช่นของเล่นพัฒนาสมองแบ็คแกมมอนเรื่องไม่สำคัญและหมากรุกเป็นเกมที่สนุกสำหรับพวกเขา ผู้เรียนเหล่านี้มีสิ่งต่อไปนี้เหมือนกัน

6) การเรียนแบบกลุ่ม บางคนอาจพบว่าพวกเขาเรียนรู้ได้ดีขึ้นขณะอยู่ในกลุ่มแทนที่จะเรียนด้วยตนเอง ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถดึงความคิดออกจากคนในกลุ่มได้และรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการหรืองานที่กำลังทำอยู่ บางคนที่ขาดความมั่นใจในตนเองอาจชอบทำงานร่วมกับผู้อื่นเพราะไม่ต้องการทำงานคนเดียว ผู้เรียนที่มีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลชอบที่จะมีปฏิสัมพันธ์ที่ใช้ความคิดของตนโต้ตอบกับผู้อื่นและรับฟังวิธีการตอบสนอง พวกเขาชอบทำงานผ่านประเด็นและความคิดเป็นกลุ่ม

7) การเรียนรู้โดยศึกษาคนเดียว รูปแบบการเรียนรู้แบบสันโดษคือการที่ใครบางคนเรียนรู้ได้ดีกว่าและทำได้ดีกว่าโดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย

ความถนัดในการเรียนของผู้เรียนมีความแตกต่างกัน ถ้าผู้สอนได้สอนให้ตรงกับความถนัดหรือลีราการเรียนของผู้เรียนจะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพได้

3. ครูที่เป็นเลิศสอนลูกศิษให้เป็นเลิศ

การสอนลูกศิษย์ให้เป็นเลิศได้ ครูต้องเป็นเลิศด้วย ครูที่เป็นเลิศหมายถึง ครูที่มีความรู้ดี โดยมีความรู้ในส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่สอนและความรู้ในส่วนที่เป็นศาสตร์การสอน มีความสามารถในการปฏิบัติการสอน ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนได้ดี เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมความเป็นครู สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และเป็นผู้ที่พัฒนาความรู้ตนเองอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ รายละเอียดขององค์ประกอบด้านต่างๆ มีดังนี้

3.1. มีความรู้ดี การเป็นผู้นำทางปัญญาเป็นคุณลักษณะสำคัญอันดับต้นๆ ของการประกอบวิชาชีพครู เนื่องจากครูมีหน้าที่โดยตรงในการพัฒนาปัญญาให้บุคคลเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาตนและสังคม องค์ประกอบด้านความรู้ ได้แก่ ความรู้ในส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระในศาสตร์หรือวิชาที่ตนเองสอน และความรู้ในศาสตร์การสอน

3.2 มีความสามารถในการปฏิบัติการสอน องค์ประกอบด้านการปฏิบัติการสอน องค์ประกอบนี้ ได้แก่ ความสามารถทางการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนากระบวนการเรียนรู้

3.3 มีคุณธรรมจริยธรรมความเป็นครู การเป็นผู้นำทางด้านจิตใจเป็นคุณลักษณะที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งของผู้ครูมืออาชีพ ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาตนและบุคคลอื่นให้เป็นคนที่มีจิตใจดี การมีจิตใจดีเป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินการเป็นคนดี ทั้งเกณฑ์ทางวิชาชีพและเกณฑ์ทางสังคม ทั้งเกณฑ์ทางทางตะวันตกและตะวันออก ครูทุกคนจึงต้องเป็นผู้นำทางจิตใจ องค์ประกอบด้านคุณลักษณะของครูมืออาชีพ ได้แก่

3.4 มีมนุษยสัมพันธ์ดี ครูมืออาชีพสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบุคลากรภายในสถานศึกษา ทั้งเพื่อนครู นักเรียน ผู้บริหาร และยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลภายนอกด้วย ได้แก่ผู้ปกครองและคนในชุมชน

ครูที่เป็นเลิศนอกจากจะต้องพัฒนาคุณลักษณะในการแสวงหาความรู้แล้ว ยังต้องพัฒนาคุณลักษณะในการผลิตผลงานทางวิชาการ เช่น ตำรา เอกสารประกอบการสอน บทความทางวิชาการ งานวิจัย รวมทั้งต้องมีคุณลักษณะในการวิพากษ์ และ นำเสนอผลงานวิชาการด้วย การพัฒนานี้จะเน้นการพัฒนาด้วยตนเอง ต้องเป็นผู้มีวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่จะสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในวิชาการด้านเนื้อหา วิชาการด้านวิชาชีพครู วิชาการด้านการเป็นผู้นำ การเป็นครูที่เป็นเลิศต้องเป็นครูด้วยใจรัก มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ของตนและวิธีสอน ประพฤติตัวได้อย่างเหมาะสมเอาใจใส่และดูแลศิษย์อย่างตั้งใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู

4. หลักสูตรเฉพาะคนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นเลิศ

การที่จะพัฒนาให้นักเรียนเป็นเลิศได้นอกจากครูที่เป็นเลิศแล้ว ยังต้องมีหลักสูตรที่พัฒนาผู้เรียนให้เป็นเลิศด้วย หลักสูตรแบบนั้นต้องเป็นหลักสูตรที่สอดรับกับความสามารถเฉพาะบุคคล เพราะนักเรียนแต่ละคนมีความถนัดหรือเป็นเลิศที่แตกต่างกัน การใช้หลักสูตรที่พัฒนาผู้เรียนให้เหมือนๆกันจึงม่เหมาะ หรือที่เรียกว่าหลักสูตรแบบตัดเสื้อโหล ที่ตัดขนาดเดียวให้นกเรียนทุกคนใส่ หลักสูตรแบบนี้จึงไม่เหมาะในการพัฒนาผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน จึงควรเป็นหลักสูตรตัดเสื้อตามขนาดที่แตกต่างกัน เป็นหลักสูตร Individual based curriculum พัฒนาผู้เรียนตามความถนัดที่แตกต่างกัน

การจัดทำหลักสูตรเฉพาะบุคคลเริ่มจาก การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และตรวจสอบความสามารถจากเครื่องมือวัดต่างๆ ใช้การประเมินที่หลากหลายและงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจสอบนี้ทำให้แน่ใจว่าการจัดเตรียมหลักสูตรสอดรับกับความรู้ รวมถึงความก้าวหน้าที่ตรงตามความต้องการในปัจจุบันและอนาคตของผู้เรียน เพื่อให้ค้นพบความถนัดที่แท้จริงของนักเรียน

หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศเป็นหลักสูตรพื้นฐานที่ได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกผู้เรียน คุณลักษณะเฉพาะของนักเรียนจะต้องนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจว่าควรปรับเปลี่ยนหลักสูตรอย่างไร (Feldhusen, Hansen, & Kennedy, 1989; Maker 1982; TAG, 1989; VanTassel-Baska et al., 1988)

1) การแก้ไขเนื้อหา เนื้อหาประกอบด้วยแนวคิดแนวคิดข้อมูลเชิงบรรยายและข้อเท็จจริง เนื้อหาตลอดจนประสบการณ์การเรียนรู้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเร่งความเร็วการบีบอัดความหลากหลายการจัดโครงสร้างใหม่การกำหนดอัตราที่ยืดหยุ่นและการใช้แนวคิดขั้นสูงหรือซับซ้อนมากขึ้น มีความเป็นนามธรรมมากขึ้น หากเป็นไปได้นักเรียนควรได้รับการสนับสนุนให้ย้ายไปตามส่วนเนื้อหาตามความต้องการของตนเอง หากพวกเขาเชี่ยวชาญหน่วยใดหน่วยหนึ่งพวกเขาจะต้องได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ขั้นสูงมากกว่าไม่ใช่กิจกรรมเดียวกัน ลักษณะการเรียนรู้ของพวกเขาได้รับการตอบสนองที่ดีที่สุดโดยเนื้อหาที่เน้นหัวข้อกว้าง ๆ และเนื้อหาเชิงบูรณาการแทนที่จะเป็นเพียงหัวข้อเดียว ขอบเขตเนื้อหาทั้งหมดที่จัดเรียงและจัดโครงสร้างตามกรอบแนวคิดสามารถควบคุมได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าที่กำหนดไว้แบบดั้งเดิม นักเรียนที่มีความเป็นเลิศจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากประสบการณ์ในหลักสูตรที่ข้ามสาขาวิชา หรือไปไกลกว่าเนื้อหาดั้งเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้รับการสนับสนุนให้ได้รับความเข้าใจแบบบูรณาการในความรู้และโครงสร้างของสาขาวิชาที่ศึกษา

2) การปรับเปลี่ยนกระบวนการ กิจกรรมต่างๆจะต้องได้รับการปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับความต้องการทางสติปัญญามากขึ้น ตัวอย่างเช่นนักเรียนต้องถูกท้าทายด้วยคำถามที่ต้องการการตอบสนองในระดับที่สูงขึ้นหรือคำถามปลายเปิดที่กระตุ้นให้เกิดการซักถามการสำรวจและการค้นพบ แม้ว่ากลยุทธ์การเรียนการสอนจะขึ้นอยู่กับอายุของนักเรียนและลักษณะของสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่เป้าหมายก็คือการกระตุ้นให้นักเรียนคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในรูปแบบนามธรรมและซับซ้อนมากขึ้น การเลือกกิจกรรมควรขึ้นอยู่กับความสนใจของนักเรียนและควรใช้กิจกรรมในรูปแบบที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง แนวทางที่ใช้กันทั่วไปในการปรับเปลี่ยนกระบวนการ ระบบการจำแนกของเขาย้ายจากระดับพื้นฐานของความคิดเช่นความจำหรือการระลึกถึงไปสู่ระดับการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น การสังเคราะห์และการประเมินผล จัดเตรียมแบบจำลองเพิ่มเติมสำหรับการจัดโครงสร้างทักษะการคิด ครูทุกคนควรรู้วิธีที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมทักษะการคิดในระดับที่สูงขึ้น

3) การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม นักเรียนที่มีความเป็นเลิศจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างโดยไม่ตัดสิน โดยให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางซึ่งส่งเสริมการสอบถามและความเป็นอิสระรวมถึงสื่อที่หลากหลาย ให้มีการการเคลื่อนไหวทางกายภาพ โดยทั่วไปมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของโรงเรียนกับโลกที่กว้างขึ้น แม้ว่านักเรียนทุกคนอาจชื่นชอบสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แต่สำหรับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศครูต้องสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้พวกเขาตั้งคำถามใช้ความเป็นอิสระและใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อที่จะเป็นรับการพัฒนาได้เต็มที่

4) การปรับเปลี่ยนความคาดหวังของผลงานและการตอบสนองของนักเรียน ครูสามารถกระตุ้นให้นักเรียนแสดงสิ่งที่เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆมากมายที่สะท้อนทั้งความรู้และความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิด ตัวอย่างเช่นแทนที่จะให้รายงานเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา นักเรียนอาจต้องการออกแบบเป็นการแสดงและตัวละครของเรื่องที่เรียน ผลิตงานสามารถสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ที่ต้องการของนักเรียนแต่ละคน พวกเขาควรสามารถนำเสนอให้ผู้ชมเป็นแบบสังเคราะห์มากกว่าสรุปข้อมูล

5) การปรับเปลี่ยนการประเมิน ในการศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรและการปฏิบัติที่มีประสิทธิผล หลักสูตรที่แตกต่างจะตอบสนองต่อลักษณะที่หลากหลายของผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศ ในกระบวนการประเมินใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เน้นการประเมินตามสภาพจริงมากกว่าการประเมินโดยใช้แบบทดสอบ ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการประเมิน

การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่งและต่อเนื่อง ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับขอบเขตเนื้อหา และลำดับของเนื้อหา เพื่อหลีกเลี่ยงช่องว่างและการซ้ำซ้อนในระดับชั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าความเข้าใจและทักษะที่เราคาดหวังให้เด็กพัฒนาสอดคล้องกัน และมั่นใจว่าผู้เรียน จะได้รับความรู้และทักษะที่จะเตรียมพวกเขาสำหรับอนาคต การประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรเป็นระยะช่วยให้สามารถแก้ไขได้เมื่อจำเป็นและจำเป็นอย่างยิ่งหากหลักสูตรต้องตอบสนองความต้องการระยะยาวของนักเรียนที่มีความเป็นเลิศสำหรับโอกาสที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น

การพัฒนาหลักสูตรสำหรับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศเป็นงานที่ท้าทาย อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับความพยายาม หลักสูตรที่ตอบสนองความแตกต่างอย่างเหมาะสมจะสร้างนักเรียนที่มีการศึกษาดีและมีความรู้ซึ่งต้องทำงานหนักมาก มีความเชี่ยวชาญในองค์ความรู้มากและสามารถคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับความรู้นั้นได้อย่างชัดเจน และมีวิจารณญาณ การบรรลุผลลัพธ์ดังกล่าวสำหรับห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่มีความเป็นเลิศจะสร้างความพึงพอใจในระดับสูง ไม่เพียง แต่สำหรับนักเรียนที่ได้รับผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงครูทุกคนที่สอนด้วย

ในยุคของคุณภาพและความเป็นเลิศ การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นเลิศต้องมีแนวคิดว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเป็นเลิศได้ตามแนวคิดพหุปัญญา คำนึงถึงความถัดในการเรียน รูปแบบการเรียนหรือลีลาการเรียน การจัดหลักสูตรให้ผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศต้องมีความเฉพาะบุคคลสอดคล้องกับความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน และครูที่เป็นผู้สอนให้ผู้รียนเป็นเลิศได้ต้องเป็นครูที่เป็นเลิศด้วย

เอกสารอ้างอิง


การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นเลิศในโลกยุคดิจิท
.
Download • 597KB


1,383 views
โพสต์ล่าสุด
หมวดหมู่
Archive
bottom of page